วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การจับคู่ ผสมพันธุ์ของกุ้งเครฟิช (Crayfish Mating)

การจับคู่ผสมพันธุ์ของกุ้งเครฟิช (Crayfish Mating)



การเลือกพ่อแม่พันธุ์

        เชื่อว่าผู้เลี้ยงเครฟิชทุกคนอยากจะให้เครฟิชผสมพันธุ์ ออกลูก ออกหลาน ฉะนั้นการเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่ดี เป็นการเริ่มต้นในผสมพันธุ์ครับ

        เราจะเลือกเครฟิชสปีชีส์เดียวกัน เพศผู้และเพศเมียที่มีลักษณะทายกายภาพที่สมบูรณ์ ก้าม และขา มีอยู่ครบ ขนาดที่ไล่เลี่ยกัน ประมาณ 2.5 นิ้วขึ้นไป แม้ว่าขนาด 2 นิ้วจะเจริญพันธุ์แล้วก็ตาม แต่ไม่เหมาะครับ เพราะถ้าหากได้รับการผสมพันธุ์ก็จะได้ไข่น้อย และเครฟิชจะหยุดลอกคราบไปประมาณ 2 เดือน 
ซึ่งเป็นช่วงเวลาตั้งแต่ผสมพันธุ์ วางไข่ จนกระทั่งไข่ฟักเป็นตัว ระยะเวลา 2 เดือนนี้ เครฟิชขนาด 2 นิ้ว 
จะลอกคราบได้หลายครั้งเลยทีเดียว คือจะได้ขนาดประมาณ 3 นิ้ว แล้วผสมพันธุ์ก็จะได้ไข่จำนวนมากครับเมื่อแอบดูเพื่อนเขาจีบกัน อดใจไม่ไหว  กันนะจ๊ะ



Procambarus alleni เพศเมีย ขนาด 2 นิ้ว หลังจากลอกคราบได้เพียง 1 วัน ก็ปล่อย pheromone ดึงดูดเพศตรงข้ามเสียแล้ว ก็เลยปรากฏเหตุการณ์ดังใน VDO




Procambarus clarkii ก็ใช่ย่อยครับ ดูกันอีกคู่




หลังจากที่ปล่อยให้เครฟิชผสมพันธุ์กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ต่อไปก็ต้องเตรียมสถานที่ไว้ให้ตัวเมียวางไข่ละ ตัวเมียจะวางไข่ได้ ต้องมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมด้วย คือต้องมีสถานที่สงบๆ ไม่ถูกเครฟิชตัวอื่นรบกวน ในช่วงก่อนจะออกไข่ ว่าที่แม่กุ้งก็จะหลบๆ ซ่อนๆ กินอาหารน้อยลงด้วย ระยะนี้เกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจากผสมพันธุ์จนถึง 1 เดือน เลยก็มี ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ และความพร้อมของตัวเมีย



หลังจากผสมไปแล้วก็ได้ไข่มาเยอะแยะ แต่ส่วนใหญ่เป็นไข่ลมเสียงั้น

           หลังจากที่แม่กุ้งวางไข่แล้ว ก็รอให้ลูกกุ้งเป็นตัวก็ใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ในช่วงที่ไข่ใกล้จะเป็นตัว ให้เอาสัตว์อื่นๆ ที่อาจจะกินลูกกุ้งได้ออกไปเสียให้หมด พวก Tank Mate ที่นิยมกัน เช่น ปลาน้ำผึ้ง หอยกินหอย หอยแอปเปิ้ล ปลาหางนกยูงตัวใหญ่ รวมไปถึงเครฟิชตัวอื่นๆ ด้วย

           เมื่อไข่ฟักเป็นตัวแล้ว ก็ตักแม่กุ้งออกไปพักสักอย่างน้อย 2 สัปดาห์ หรือรอให้ลอกคราบก่อนก็ดีครับ เนื่องจากหลังผสมพันธุ์ไปแล้ว แม่กุ้งจะกินอาหารได้น้อยลง ในช่วงนี้จึงเป็นโอกาสให้แม่กุ้งได้พัก และได้กินอาหารอย่างเต็มที่ เพื่อเตรียมตัวผสมพันธุ์ในรอบต่อไป

           หากแม่กุ้งไม่ได้รับการพัก แม่กุ้งจะอ่อนแอ เมื่อการตั้งท้องครั้งต่อไป แม่กุ้งจะไข่น้อย หรืออาจจะเสียชีวิตหลังออกไข่ได้ครับ

            ส่วนตู้ผสมพันธุ์ก็ไม่ต้องตักลูกกุ้งไปอนุบาลที่อื่นนะครับ เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยน ค่าน้ำก็เปลี่ยน ทำให้ลูกกุ้งอ่อนแอได้ ให้ใช้ตู้ผสมพันธุ์เป็นตู้อนุบาลลูกกุ้งวัยอ่อนต่อไปได้เลย

ขอบคุณข้อมูลดีจากคุณ SongOn

วิธีใช้ EM ในตู้กุ้ง ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย

วิธีใช้ EM ในตู้กุ้ง ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย




คำถามยอดฮิต

    1.ให้อาหารได้ปกติไหม
    2.จำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำบ่อยไหม
    3.มันช่วยรักษาโรคบ้างอย่างให้กุ้งจริงไหม
    4.ถ้าใส่ก้อนแคลเซียมกับสาหร่ายแล้วใช้EMจะส่งผลอะไรไหม
    5.ปริมาณในการใช้ (ตู้24"กั้น3)

คำตอบ 

         EM ช่วยบำบัดน้ำ ถ้าน้ำสะอาดกุ้งก็ไม่เป็นโรค การใช้ดูข้างขวด (ควรใส่น้อยกว่าปริมาณที่เขียนไว้ก่อนเพื่อดูอาการกุ้ง) ส่วนอาหารการกินให้เหมือนเดิม  แต่แรกๆเชื้อ EM ยังไม่ค่อยได้ทำงานมันจะออกเหลืองๆหน่อยจากนั้น 1 - 2 วันน้ำจะใส  ใส่ EM แล้ว ต้องให้อ็อกซิเจนด้วยนะครับ การใช้งานถึงจะเกิดประโยชน์ กุ้งจะได้ไม่มีปัญหา ใส่ในปริมาณพอเหมาะนะครับผม
การเปลี่ยนน้ำจะช้าลงเพราะน้ำสอาดมากขึ้น  แต่โดยธรรมชาติแล้วถ้าเราเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อยๆ EM ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เลย


หาซื้อได้จากที่ไหนบ้าง
            ผมแนะนำร้าน    ร้านสินค้าเกษตรทั่วไปจ้า ของเจียไต๋ ก็ได้ครับ เลือก EM ที่ใช้กับสัตว์น้ำนะครับ

การเตรียมตู้อนุบาลลูกกุ้ง แรกเกิด

การเตรียมตู้อนุบาลลูกกุ้ง แรกเกิด



     1.  สิ่งที่ควรเตรียมคือ ตู้อนุบาลลูกกุ้ง ที่ผมใช้คือ ตู้ 18-20นิ้วครับ กำลังดี เริ่มตั้งแต่เรารู้ว่าตัวคุณแม่ของเด็กๆจะไข่ ผมจะเตรียมตู้รันน้ำ และระบบกรองเอาไว้ก่อนล่วงหน้าเพื่อปรับอุณหภูมิน้ำให้เท่ากับตู้ที่แม่กุ้งอยู่ ส่วนหินปูพื้นผมจะใช้หินนิลดำเบอร์ 0 ปูพื้นไว้บางๆ ควรวางตู้ในตำแหน่งที่คนเดินไม่พุกพล่านนะครับ จะได้ไม่ไปรบกวนแม่กุ้ง หลังจากเตรียมตู้รันน้ำ และระบบกรองเรียบร้อยแล้ว เช็คอุณภูมิน้ำว่าเท่ากับตู้ที่แม่กุ้งอยู่แล้วว่าเท่ากันแล้ว ผมก็จะ่ค่อยๆตักตัวแม่กุ้งออกมาลงตู้ที่เราเตรียมไว้ (ต้องตักแม่กุ้งออกตอนที่ยังไม่มีไข่นะครับ เพราะถ้าตักตอนแม่กุ้งมีไข่แล้ว อันตรายมาก!!! แม่กุ้งอาจจะเครียดและสลัดไข่ได้)
 
     2.  หลังจากที่เราเอาแม่กุ้งมาพักไว้ที่ตู้อนุบาลแล้ว การให้อาหารแม่กุ้ง ควรให้แต่น้อยพอที่แม่กุ้งเค้าจะกินหมดครับ ไม่หมดเราก้ตักออกไม่ควรทิ้งเอาไว้ เราต้องดูแลเรื่องความสะอาดของน้ำให้ดีที่สุดครับ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนไข่เริ่มเป็นตัว จนครบกำหนดลูกกุ้งลงมาเดินครับ
   
     3.  หลังจากที่เด็กๆเริ่มลงมาเดินจนหมดแล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะเอาคุณแม่ไปแยกพักไว้ อย่าพึ่งใส่ลงไปรวมกับคุณพ่อกุ้งนะครับ ต้องรอให้คุณแม่กุ้งลอกคราบจนสมบูรณ์ก่อน แล้วเราค่อยตักคุณแม่ไปไว้กับคุณพ่อกุ้งได้
   
     4. หลังจากที่เอาคุณแม่แยกออกไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะมาดูเด็กๆกันแล้วครับ ช่วงแรกๆเด็กๆเค้าจะยังไม่ค่อยทานอะไรครับ เราอาจจะให้อาหารบ้างเล็กน้อย อาหารที่จะเอามาหให้เด็กๆกินกัน ก็คือ เอาอาหารเม็ดที่เราเอาให้พ่อกุ้งแม่กุ้งกินกันนี่แหล่ะครับ แต่.....เราเอาไปบดให้เป็นชิ้นเล็กๆพอที่ลูกกุ้งจะกินได้ เวลาให้อาหารลูกกุ้งเราก็เอาอาหารที่บดนี่แหล่ะครับใส่ลงไปไม่ต้องเยอะครับ ตามปริมาณลูกกุ้งที่ลงมาเดิน กินแค่พอหมด
   
     5.  พอหลังจากที่ลูกกุ้งเริ่มจะลอกคราบกันครั้งถึงสองครั้งแล้ว เด็กๆก็เริ่มที่จะกินกันเก่งขึ้นมากทีเดียว ที่นี้เราก็เริ่มบำรุงลูกกุ้งกันได้แล้ว ส่วนตัวผมใช้หนอนแดงแช่แข็ง ไซส์เล็กครับ คลุกอาหารเสริมต่างๆ ให้เด็กๆ กินกันเลยทีเดียว
   
     6.  หลังจากนั้นเด็กๆก็เริ่มโตขึ้นเรื่อยๆแล้วครับ ที่นี้เราก็ต้องมานั่งสังเกตุกันแล้วครับว่า จะมีเด็กๆตัวไหนที่โตเร็วเป็นพิเศษ เพื่อที่เราจะได้แยกเค้าออกมาจากฝูงครับ เพราะพวกที่โตเร็วกว่า จะแย่งอาหารพวกตัวเล็กๆกิน แล้วตัวเล้กๆจะไม่ค่อยได้กินครับ เราก็แยกมาใส่กล่องแยกกุ้งต่ออีกที (ส่วนใหญ่บางท่านพอได้ไซส์ประมาณ 1-2 cm.ก็จำหน่ายแล้ว)

Crayfish Breeder Group (Thailand) ที่ให้ความรู้ในการเลี้ยงกุ้งมา

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

วิธีเพาะพันธุ์กุ้งเครฟิช "หม้อแม่นาค" Part2 : รูปแบบที่เย็นที่สุด



วิธีเพาะพันธุ์กุ้งเครฟิช "หม้อแม่นาค" Part2 : รูปแบบที่เย็นที่สุด



เป็นอีก 1 ทางเลือกในการเพาะพันธ์ุกุ้งสำหรับคนที่เลี้ยงในสถานที่ ที่ค่อนข้างร้อน ซึ่งวิธีนี้โดยส่วนตัวผมมองว่าทำค่อนข้างง่าย และค่าใช้จ่ายไม่สูงครับ

คลิปเด็ดจากคุณ ชาวร็อคบอกเล่า









วิธีเพาะพันธุ์กุ้งเครฟิช "หม้อแม่นาค" Part1 : เริ่มต้น



วิธีเพาะพันธุ์กุ้งเครฟิช "หม้อแม่นาค" Part1 : เริ่มต้น








วิธีดูกุ้งตัวเมียที่พร้อมผสมพันธ์ุและขับไข่ (ฝ้ามาที่หาง)


การเช็คความพร้อมของกุ้งตัวเมีย โดยใช้วิธีการดูฝ้าที่หาง สำหรับกุ้งเครฟิชสายพันธ์ุ

 Procambarus Clarkii (สาย P)






ขอบคุณคลิปจากคุณ ชาวร็อคบอกเล่า


รวบรวมคำถามยอดสำหรับเลี้ยงกุ้ง สำหรับมือใหม่ ต้องอ่าน!!

รวบรวมคำถามยอดสำหรับเลี้ยงกุ้ง สำหรับมือใหม่ ต้องอ่าน!!

จากประสบการณ์ตรงที่เคยเลี้ยงอยู่พักใหญ่ๆ นะครับ




1. กุ้งเลี้ยงรวมกันได้ไหมคะ

- ได้ครับ แต่ทั้งนี้ต้องดูขนาดตู้ หากขนาดตู้เล็กควรแบ่งตู้ออกเป็นช่องๆและเลี้ยงแยกเป็นตัวๆ หรือควรมีที่หลบซ่อนเยอะ เพื่อป้องกันครับ

2. ที่อยุ่ ในตู้เค้าใส่น้ำเต็มเหมือนเลี้ยงปลาแต่เหมือนเค้าจะเกาะออกซิเจนจะขึ้นมาเหนือน้ำบ้างอ่ะค่ะ ควรลดน้ำและเอาหินมาให้เค้าเกาะขึ้นมาหายใจเหมือนพวกตะพาบหรือป่าวคะ

- น้ำที่ใส่ขนาดไหนก็ได้ครับ ตามแต่ชอบ แต่ควรมีออกซิเจนให้มันด้วย กุ้งมันไม่ค่อยจะโพล่ขึ้นมาผิวน้ำเหมือนตะพาบครับ เพราะมันอาจแห้ง
ตายได้ และที่สำคัญระวังสายหรือท่ออะไรก็ตามที่ต่อออกนอกตู้ เพราะกุ้งชอบปีนป่าย มันอาจเดินมาแห้งตายนอกตู้ได้บ่อยๆ

3. เค้าผสมพันกธกันแล้วจะท้องไหม ท้องกีวัน กีเดือน แล้วลูกหรือไข่มีลักษณะอย่างไร แล้วถ้าท้องต้องแยกหรืออะไรยังไงบ้างคะ

- ท้องแน่นอน และลูกออกมาเป็นร้อย วิธีคือ แยกตัวอื่นออกให้หมด(ไม่ควรแยกตัวท้องออก เพราะมันอาจสลัดไข่ได้)

4. เค้ากินอะไรได้อีกนอกจากอาหารเม็ด อาหารจมน้ำอย่างเช่นอะไรคะ 

- กินได้ทุกอย่างทั้งพืชและสัตว์ และเอาแครอทให้กินเพื่อเร่งสีได้ครับ

5. ที่ผสมกันเค้าคนละสีอ่ะค่ะจะเป็นไรไหม

- ในกรณีนี้เมื่อกุ้งต่างสีกัน ลูกที่ออกมาจะไม่ใช่พันธุ์แท้สีจะออกมาไม่แน่นอนมั่วไปเรื่อย

6. น้ำเค้าขุ่น ๆ อ่ะค่ะจะเปลี่ยนน้ำได้ไหม ไม่กล้าเปลี่ยนเพราะไอฟอง ๆ ที่ลอยติดขอบ และไม่กล้าจับกุ้งด้วยค่ะ อีกอย่างสีหินเค้าเลือกสีขาวมา

เราก็ไม่เข้าใจทไมเลือกหินสีขาวมันทำให้ดูสกปรก จริง ๆ เราอยากให้หินสีดำเห็นเวลาเค้าใส่ตามตู้ปลาสวยดี หรือว่าสีขาวดีแล้วอันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ

         6.1 เน้นเป็นถ่ายน้ำออก 30%และเติมใหม่ ทุกๆ 5-7 วัน เป็นการดูดสิ่งสกปรกออกจากตู้ครับ

         6.2 หากไม่กล้าจับกุ้งให้ซื้อสวิงมาตักครับ

         6.3 จะเปลี่ยนหินผมว่ารอจนกว่ากุ้งจะออกไข่ดีกว่าครับ เลี้ยงเครฟิชหินนิลดำดูดีสุดครับ สีกุ้งจะเข้มขึ้น

7. เค้าเลี้ยงรวมกับอะไรได้บ้างคะ เอาพวกหินต้นไม้อะไรมาตกแต่งได้บ้าง

- ไม่แนะนำให้เลี้ยงรวมอะไรทั้งสิ้ม เพราะมันจะกินจะแทะหมด ลงหิน, กิ่งไม้, ขอนไม้หรือกระถางดินเผาให้มันหลบดีกว่าครับ

8. ถ้าจะเลี้ยงให้เค้าเชื่องแแบบเอามาจับเล่นได้ด้วยไหมคะ ต้องทำยังไง

- มันไม่เชื่องหรอกครับ แต่วิธีจับก็ไม่ยากอะไรมาก จับตรงระหว่างหัวกับตัวมันครับ มันจะไม่สามารถหนีบเราได้



ปล. กุ้งที่เลี้ยงด้วยกันควรตัวเท่ากัน เพราะไม่งั้นตัวที่เล็กกว่าจะโดนตัวใหญ่กว่ากินครับ (ถ้าใหญ่กว่าแค่ก้ามไม่เป็นไร ตัวผู้จะก้ามใหญ่)

วิธีเพาะพันธุ์โกส ตามสไตสเซียน

การเพาะโกส



                ติดค้างเรื่องการผสมพันธุ์กุ้งมาหลายวัน ขอโอกาสร่ายยาวๆสักบทความก็แล้วกันนะครับ ใครอ่านแล้วได้

ความรู้ รู้สึกว่ามันเข้าท่า ก็นำไปเผยแพร่กันได้ตามอัธยาศัย หรืออ่านแล้วมันไม่ใช่ ก็อย่าเคืองกันเน้อ

บทความนี้ จะใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เอาแบบที่เด็ก ป.6 อ่าน ก็ยังเข้าใจ ลุงมี ตามา ไอ้เอ๋ง อ่านแล้ว ก็นำไปใช้ได้ 

และจะไม่นำข้อมูลทางวิชาการ มาลงให้อ่านยากนะครับ ง่ายๆคือ เอามันแบบลูกทุ่งๆนี่แหละ


1.การเตรียมพ่อพันธุ์

            - สำหรับผู้ที่เลี้ยงเล่นๆ เลี้ยงน้อย ก็เลือกเอาตามความชอบ ตัวไหนหล่อ ตัวไหนสวย ก็เลือกเอาตามใจได้

เลย ส่วนสำหรับผู้ที่คิดจะเพาะในระดับเยอะๆ ต้องเตรียมพ่อพันธุ์ไว้หลายขนาด ต้องฟอร์มกันตั้งแต่เล็ก เนื่องจาก

ตัวผู้ เมื่อผสมแล้ว มันจะหยุดการกินเพื่อเจริญเติบโต แต่จะกินอาหารเพื่อประทังชีวิตเท่านั้น ส่วนตัวเมียมันจะโตไป

เรื่อยๆ ดังนั้นหากท่านอยากได้พ่อพันธุ์ตัวใหญ่ๆ ต้องนำไปเลี้ยงแยกขังเดี่ยวตัวเดียว ห้ามให้มันได้กลิ่นตัวเมียเด็ด

ขาด ม่ายงั้นมันจะหยุดกิน และจะอยากผสมทันที เมื่อขุนได้ไซด์ตามที่ต้องการแล้ว ก็นำมาลองเข้าคู่ได้ ในพ่อพันธุ์

หนุ่มน้อยวัยคะนอง มักจะเข้าหาตัวเมียด้วยความรุ่นแรง ออกแนวกระชากลากถู หากท่านกลัวตัวเมียจะช้ำใน หรือสูญ

เสียอวัยวะ ก้าม ขา หรือมีอันเป็นไป ก็ให้หากุ้งสีธรรมดา มาเป็นคู่ซ้อมให้พ่อพันธุ์ของท่านก่อนนะครับ พอกุ้งตัวผู้ที่มี

ความช่ำชอง เขาจะเข้าหาตัวเมียด้วยความนิ่มนวลกว่า จะเข้าทางด้านข้าง และจะผสมในระยะเวลาที่นานกว่า น้ำเชื้อ

ก็จะถูกฉีดไปได้ในจำนวนที่สม่ำเสมอ และทั่วถึง




2.การเตรียมแม่พันธุ์

                - อันนี้ก็คงไม่ยุ่งยาก ตัวเมียตัวไหน ก็คงจะตั้งท้องได้หมดนั่นแหละครับ ก็เลือกเอาตามใจชอบได้เลย ตัว

เมียเงื่อนไขค่อนข้างน้อย จะก้ามไม่เท่า ก้ามเดียว ปากเบี้ยว ตาเหล่ ก็สามารถจ่ายลูกกุ้งที่สวยงามได้

3.การเลี้ยงก่อนผสม

                - ในขั้นนี้หากจะให้ได้ผลที่สุด แนะนำให้แยกเลี้ยงนะครับ ช่องละตัว กล่องละตัว หรือยังไงก็ได้ ให้มันอยู่

ตัวเดียว จะเป็นการดีที่สุด ส่วนท่านอื่นจะเลี้ยงรวมก็ไม่ว่ากัน

4.อุณหภูมิ
                - อันนี้สำคัญสุด กุ้งเครฟิชเป็นสัตว์เลือดเย็น เป็นสัตว์กินซากที่หากินในเวลากลางคืน (โทดๆๆๆ จะเข้า

วิชาเกินอยู่เรื่อย) ง่ายๆคือ ธรรมชาติกุ้งชอบอากาศเย็น กุ้งสามารถเติบโตในอุณหภูมิปรกติบ้านเราได้ แต่ไม่สามารถ

เจริญพันธุ์ได้ดีนัก เนื่องจากโกส เป็นกุ้งเครฟิช ที่มีลักษณะยีนส์ด้อยมากๆ ทำให้เพาะติดยาก หากท่านใด เลี้ยงใน

ห้องแอร์ หรือในสถานที่ควบคุมอุณหภูมิ ก็จะได้เปรียบ เนื่องจากสัตว์เลือดเย็น จะชอบอากาศเย็น และชื้น เพื่อสะสม

สารอาหารไปสร้างไข่ในตัวเมีย และน้ำเชื้อในตัวผู้ หากท่านใดที่ติดหลอดไฟประดับตู้อยู่ด้านบน ก็ขอให้เอาออกนะ

ครับ เนื่องจากกุ้งมันไม่ชอบ มันกระซิบบอกมาว่า "มึงจะติดทำไม กูไม่ชอบแสง ทำให้อุณหภูมิน้ำขึ้นอีกต่างหาก" หาก

ท่านที่ไม่ได้ติดแอร์ หรือชิลเลอร์ ก็ขอแนะนำโดยการเพิ่มระดับน้ำให้สูงขึ้น ใส่ทรายทะเล ลงในก้นภาชนะ เพื่อให้

อุณหภูมิด้านล่างพื้นเย็นขึ้น



5.จะผสมตอนไหนดี

                - ตัวผู้คงไม่ต้องพูดถึง มันพร้อมตลอดเวลาอยู่แล้ว ส่วนตัวเมีย โดยส่วนตัวผมผสมทีเดียว ดอกเดียว เสียว

แน่นอน เนื่องจากน้ำเชื้อตัวผู้ เมื่อผสมไปแล้ว จะถูกเก็บอยู่ในตัวเมียได้ประมาณ 30 วัน ถามว่าจะดูยังไง ก็คือ กุ้งตัว

เมีย เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ จะเร่งการกิน เพื่อสร้างไข่ไปเก็บไว้บนหัว สิ่งที่บ่งบอกว่ากุ้งมีไข่ ก็คือฝ้าที่หาง ยิ่งฝ้าหนาๆ 

ลงระยางมากๆ ก็แปลว่ากุ้งมีไข่บนหัวรอไว้แล้ว (ไม่เชื่อไปแกะดู อิอิ) เมื่อท่านเห็นฝ้ามาแล้ว ให้ใจเย็นๆ รอจนกว่ากุ้ง

ตัวเมียไม่ทานอาหาร นั่นแปลว่า ไข่พร้อม กุ้งสะสมสารอาหารไว้พร้อมหมดแล้ว ให้จับลงไปผสมได้เลย เทคนิคคือ ให้

จับตัวเมีย ไปใส่ในช่องของตัวผู้ เนื่องจากกุ้งมีนิสัยเป็นสัตว์หวงถิ่น หากท่านจับตัวผู้ไปผสมที่อื่น ตัวไหนผสมก็ดีไป 

แต่บางตัวเขาจะตื่นสถานที่ พาลไม่ผสม หรือทำร้ายตัวเมียเลยก็มี เมื่อผสมเสร็จแล้ว ก็นำตัวเมียเก็บออกไปรอไข่ได้

เลย ไม่ต้องนำกุ้งตัวเมียมาผสมบ่อยนะครับ เพราะกุ้งจะช้ำ และอาจจะขับไข่ไม่ออกตายได้เลยนะ

6.เมื่อไหร่มันจะไข่? ดูยังไง?

                - อาการกุ้งตัวเมีย เมื่อจะไข่ กุ้งจะไปเก็บตัวอยู่ทีท่อหลบ โก่งตัว หุบหางเข้าหาลำตัว ในวันก่อนไข่ 1-2 

วัน กุ้งจะเอาขาหลัง 4 ขา มาหยิบจับทำความสะอาดบริเวณระยางว่ายน้ำ ในช่วงนี้ก็คือไม่ต้องให้อาหารแล้วนะครับ 

ใส่สาหร่าย และใบหูกวางไว้ก็พอ เนื่องจากใส่อาหารน้ำเน่า ส่วนสาหร่ายกับใบหูกวางไม่ทำให้น้ำเสีย หากสภาวะ

แวดล้อม อุณหภูมิเหมาะสม กุ้งก็จะขับไข่พร้อมเมื่อกหุ้มไข่ที่สมบูรณ์ออกมาแน่นอน

7.ไข่แล้วทำไงต่อ ตื่นเต้นจัง เซลฟี่ได้มั้ย?

                 -เมื่อท่านเห็นกุ้งไข่ ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน หาอะไรไปปิดบังสายตามันไว้ ไม่ให้เขาเห็นเรา เอากระดาษโน๊ต

จดวันที่ไข่แปะไว้หน้าตู้ แล้วก็แกล้งลืมมันไปเลย อย่าจับมันมาเล่นหรือถ่ายรูปเด็ดขาด สำหรับท่านที่ยังไม่ชำนาญ 

หรือในกุ้งท้องแรก ให้ผ่านไปสัก 20 วัน ท่านค่อยไปดู หากกุ้งไข่อยู่ในสภาวะที่เหมาะสม ทั้งสภาพน้ำที่ดี อุณหภูมิที่

เย็นพอ ท่านได้ลูกกุ้งแน่นอน



























*ต่อไปจะเป็นคำถามจากทางบ้านนะครับ ที่รวบรวมมาตอบให้
1.กุ้งไข่ย้ายที่ได้มั้ย?-จากการทดลองโดยส่วนตัว หากในสภาวะย้ายจากที่ร้อน ไปสู่ที่เย็น กุ้งไม่สลัดไข่แน่นอนครับ แต่หากย้ายจากที่เย็นไปที่ร้อน อันนี้ไม่เหลือ

2.ต้องเปลี่ยนน้ำมั้ย ใช้น้ำเก่า หรือน้ำใหม่?- กุ้งถ้าตั้งท้อง โดยสภาวะสมบูรณ์ตั้งแต่เริ่ม โดยส่วนตัวผมก็ใช้น้ำใหม่ตลอดครับ เวลาย้ายกุ้งไข่ ก็ยังไม่พบปัญหาการสลัดไข่

3.กุ้งสลัดไข่เพราะอะไร- หลักๆ คืออุณหภูมิครับ ในที่เลี้ยงที่อุณหภูมิสูงตั้งแต่แรก ทำให้กุ้งไม่แข็งแรง คือสามารถเติบโตได้ แต่ไม่สามารถเจริญพันธุ์ได้เต็มที่ เมื่อกุ้งไข่ออกมา ก็จะขับไข่และเมือกหุ้มไข่ไม่สมบูรณ์ เมื่อแม่กุ้งกระพือไข่ ก็จะหลุดร่วงลงพื้น ประกอบกับไข่ไม่ได้รับน้ำเชื้อของตัวผู้ที่แข็งแรง ไข่ก็จะถูกสลัด หรือบางทีแม่กุ้งก็จะกินไข่ตัวเองจากการเครียด

4.ไข่ขึ้นรา ทำอย่างไร-โดยส่วนตัวนะครับ เชื่อว่าไข่ที่ไม่ได้รับน้ำเชื้อผสม จะเป็นลักษณะเหมือนรา โดยไม่ได้เกิดจากน้ำสกปรกแต่อย่างใด สังเกตุได้ว่า ในหลายๆท่าน ใช้น้ำสะอาด ไข่ก็ยังเป็นราได้ สรุปก็คือไข่เป็นราไม่ได้เกิดจากน้ำ แต่เกิดจากไข่ไม่สมบูรณ์ในตัวมันเอง

5.เอากุ้งตัวผู้หลายตัวทับ จะรู้มั้ยว่าลูกตัวไหน-จากการทดลอง ได้ข้อสรุปเกือบจะสมบูรณ์แล้วว่า ในกุ้งตัวเมีย สามารถเก็บน้ำเชื้อตัวผู้ได้มากกว่า 1 ตัว เช่นเอาโกสลายธงชาติตัวเมีย ถูกผสมโดยโกสส้มตัวผู้ และโกสลายธงชาติตัวผู้ ลูกที่ออกมา ก็จะเป็นได้ทั้งโกสส้ม และโกสลายธงชาติในครอกเดียวกันครับ

6.เอากุ้งต่างแพทเทิน ผสมออกมาแล้ว ลูกจะเป็นแบบไหน?
- ในกุ้งที่ยีนส์ด้อยเสมอกัน ลูกที่ออกมาครอกแรก จะออกแบ่งเหมือนพ่อและแม่ อย่างละครึ่ง และจะมีส่วนน้อยประมาณ 5% ที่จะเป็นการรวมสองแพทเทินของพ่อและแม่รวมในตัวเดียวกัน ซึ่งน่าสนใจมากที่จะนำไปพัฒนาต่อไป เป็นหลักการของการพัฒนาสายพันธุ์กุ้งในบ้านเรานั่นเอง

ใช้ใบหูกวางเพิ่มอัตรารอดลูกกุ้ง

“4 ปีที่แล้ว ไปเห็นกุ้งก้ามแดงวางขายที่ตลาดจตุจักร ซื้อมาเลี้ยงเล่น 2 คู่ จากนั้นหาข้อมูลเพิ่มเติมทางอินเตอร์เน็ตถึงได้รู้ กุ้งตัวนี้ในต่างประเทศเลี้ยงเป็นกุ้งเนื้อขายกัน จึงลงทุนไปดูของจริงที่โครงการหลวงดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ กลับมาจึงเริ่มเลี้ยงอย่างจริงจัง ลองผิดลองถูก จนได้วิธีเลี้ยงที่เป็นสูตรของตัวเอง”
พ.อ.ต.อรรถพนธ์ ชัยนาค ลูกทัพฟ้าทหารอากาศดอนเมือง บอกถึงวิธีการเลี้ยงในแบบฉบับของตัวเองว่า ขั้นตอนการ เลี้ยงอาจไม่ต่างจากคนอื่นเท่าใด แต่การเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ค่อนข้างต่างจากคนอื่น




เริ่มจากคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ 30 ตัว (ตัวผู้ 1 ตัวเมีย 2) ปล่อยรวมลงบ่อปูนหรือบ่อผ้าใบขนาด 2×2 ม. เลี้ยงในน้ำลึก 2 ฟุต มีท่อพีวีซีเป็นที่หลบภัยตามจำนวนตัวกุ้ง ให้อาหารกุ้งขาวเบอร์ 3 ตัวละ 5 เม็ด ในช่วงเย็นหรือกลางคืน
สำคัญที่สุด...ต้องปิดสแลนทึบอย่าให้โดนแสง ห้ามส่งเสียงดังรบกวน เพื่อให้แม่พันธุ์มีไข่สมบูรณ์


เมื่อครบ 2 อาทิตย์ จึงเปลี่ยนถ่ายน้ำ เช็กดูแม่พันธุ์ว่ามีไข่หรือไม่...ถ้าไม่มีให้สลับตัวผู้กับคู่อื่น...แต่ถ้ามีไข่ให้จับตัวเมียแยกใส่ตะกร้าละตัว วางตะแคงตะกร้าเพื่อประหยัดเนื้อที่ในบ่อ ให้ตะกร้าส่วนหนึ่งโผล่เหนือน้ำ เผื่อกุ้งขาดออกซิเจนจะสามารถปีนขึ้นมาหาอากาศหายใจได้
จากนั้นนำใบหูกวางแห้งมาใส่ตะกร้าแม่ละ 1 ใบ เพื่อเป็นอาหารและลดความเครียด ภายใน 45 วัน จะเห็นลูกค่อยๆเดินออกจากตะกร้าลงบ่อ...แม่พันธุ์ 1 ตัว จะให้ลูกได้ 300–400 ตัว



ประโยชน์อีกอย่างของใบหูกวาง ลูกกุ้งจะไม่กินกันเองทำให้อัตรารอดสูง เพราะน้ำจะเป็นสีน้ำตาล ลูกกุ้งมองไม่เห็นกัน และเศษใบหูกวางยังเป็นอาหารของลูกกุ้งอีกด้วย...เลี้ยงไปอีก 20 วัน จะได้ลูกกุ้งไซส์นิ้ว พร้อมจำหน่ายหรือขุนเป็นกุ้งเนื้อต่อไป
การอนุบาลลูกกุ้ง...เอาถาดไข่หลายๆใบวางเป็นที่หลบภัย ให้สาหร่ายหางกระรอกเป็นอาหาร เลี้ยงครบ 2 อาทิตย์ เริ่มปรับเปลี่ยนให้อาหารกุ้งขาวเบอร์ 1 ไม่ต้องมาก แค่พอลูกกุ้งกินหมด...หากเหลือต้องลดจำนวนอาหารลง เลี้ยงต่อไปราว 20-30 วัน ย้ายลงบ่อดินในช่วงเย็น เพราะอุณหภูมิคงที่กุ้งจะไม่น็อกน้ำ



บ่อดินขนาด 1 ไร่ ปล่อยลูกกุ้ง 10,000 ตัว ต้องระวังช่วงกุ้งลอกคราบ เพราะจะกินกันเอง ฉะนั้นต้องมีที่หลบภัย ไม่ว่าจะเป็นขวดพลาสติกนำมามัดผูกติดกันเป็นคอนโด ยางรถยนต์ หรืออะไรก็ได้ที่กุ้งสามารถเข้าไปหลบได้
เลี้ยงในน้ำลึก 120 ซม. เพราะถ้าน้ำตื้น อุณหภูมิจะแกว่งไม่แน่นอน กุ้งอาจเครียด กินอาหารน้อย...ยิ่งตอนเช้าและค่ำ อุณหภูมิแตกต่างกันมากๆ น้ำตื้นกุ้งจะตายได้ ให้อาหารกุ้งขาวทุกวันในช่วงเย็นประมาณบ่อละ 5 ถ้วยแกง



ลงบ่อดินได้ 2 เดือน สูบน้ำออกเพื่อจับแยกเพศเลี้ยง เลี้ยงต่อไปอีก 2 เดือน จะได้กุ้งขนาด 4 นิ้วขึ้นไป คัดตัวที่ใหญ่สมบูรณ์ ขนาด 5-6 นิ้วไว้สำหรับเป็นพ่อแม่พันธุ์...สนใจรายละเอียดสอบถามได้ที่ 08-9505-4944.

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การเลือกซื้อน้องกุ้งเครฟิต


การเลือกซื้อน้องกุ้งเครฟิต



         1. เลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้และผู้ขายสามารถให้ความรู้กับเราได้ในเบื้องต้น  
         2. เลือกตัวที่แข็งแรงให้ลองแหย่ ๆ เค้าดูถ้าตัวไหนชูก้ามสู้  หรือมีปฏิกิริยากระโดดหนี อย่างรวดเร็วเป็นต้น  ที่สำคัญตาต้องอยู่ครบเพราะไม่สามารถงอกใหม่ได้



การเลือกซื้อตู้ให้เหมาะสม

          เครฟิชเป็นกุ้งที่ต้องการพื้นที่  เพื่อลดการปะทะหรือให้น้องกุ้งได้มีพื้นที่เดินบ้างจะได้แข็งแรง
จากประสบการณ์ส่วนตัวที่สังเกตุมาน้องกุ้งตัวไหนที่เดินเก่ง ๆ ขนหิน  มีกิจกรรมตลอดเวลา ชอบปีนป่าย กุ้งพวกนี้จะมีรูปร่างสวยงามแข็งแรงกว่ากุ้งที่ชอบหมอบ ๆ และหลบ ๆ ตัวอย่างตู้ที่ใช้เลี้ยงจะเป็นทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส  (ทรง Cube) เพื่อให้มีพื้นที่มากพอ สำหรับน้องกุ้งเค้าค่ะ  



วัสดุปูพื้นตู้

          โดยส่วนตัวแล้วชอบหินนิลดำเพราะทำให้น้องกุ้งสีสวยขึ้น  ราคาถูก  และทำความสะอาดง่ายค่ะ

การให้อาหาร

          จะให้อาหารวันละสองครั้งเช้าและค่ำ ๆ ค่ำ  พยายามให้อาหารให้ตรงเวลาค่ะน้องกุ้งจะได้สุขภาพดี และก็เก็บเศษอาหารออกให้หมดค่ะ  สังเกตพฤติกรรมการกินอาหารของน้องกุ้งด้วยค่ะเพราะการ
ไม่กินอาหารของน้องกุ้งบ่งบอกว่าน้องกำลังจะลอกคราบค่ะ  จะได้แยกเค้าออกทัน

การลอกคราบ

            เป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ ค่ะสำหรับการเลี้ยงรวม 90 เปอร์เซ็นต์ของกุ้งเครฟิชจะหยุดกินอาหารก่อนจะลอกคราบประมาณ 1-2 วันและจะแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อน ๆ หรือปีนขึ้นไปอยู่ที่สูง หรือไม่ก็หลบในมุมที่ไม่ค่อยมีกุ้งตัวอื่น ๆ เข้าไปกวน สิ่งที่สังเกตุได้ง่ายอีกอย่างคือสีของน้องกุ้งจะทึบและเข้มขึ้นกว่าปกติ  

การผสมพันธุ์

              เอาล่ะตอนนี้มาถึงเรื่องที่เพื่อน ๆ หลายคนอยากรู้ว่าทำยังไงทำไมถึงท้องเยอะจัง ก็ต้องบอกว่าไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรมากมายค่ะ  ให้อาหารก็ยี่ห้อที่ทั่ว ๆ ไปเค้าใช้กัน แต่จะเสริมด้วยอาหารสดบางอย่างเช่น  หนอนแดง  กุ้งฝอยต้ม  แครอท  สาหร่ายหางกระรอก เมื่อเค้าโตประมาณ 2.5 นิ้ว  น้องเครเค้าจะมีสัญชาตญาณหื่นขึ้นมาเองค่ะ  เค้าก็จะเริ่ม ผสมกันให้เห็นบ่อยครั้งค่ะ  และในตู้ส่วนใหญ่จะใส่ตัวเมียไว้มากกว่าตัวผู้เสมอ  (เหมือนฮาเร็ม) เพื่อที่ตัวผู้จะสามารถผสมพันธุ์กับตัวเมียสลับไปสลับมาได้  เพราะถ้าอยู่ในตู้กันสองต่อสอง ตัวผู้บางตัวที่หื่น จัดๆ อาจข่มขืนตัวเมียจนตายได้ค่ะ  (หลายท่านคงเจอมาแล้ว)  หลังจากเค้าเริ่มผสมพันธุ์กันสิ่งที่จะเกิดขึ้นเลยคือพฤติกรรมการกินอาหารของเค้า จะกินน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดทั้งตัวผู้และตัวเมีย  และตัวเมียก็จะหมอบ ๆ หางม้วน ๆ ค่ะ บางท่านอาจจะแยกตัวเมียออกไปโดยปกติแล้วหลังจากผสมแล้วประมาณ 15 วัน ก็จะรู้ผลแล้วว่าติดหรือไม่  ถ้าไม่ก็ผสมซ้ำได้เลย     แต่ประสบการณ์ส่วนตัวเรา ใช้วิธีสังเกตุว่าตัวเมียในตู้ตัวไหนถูกผสมบ่อยสุ จะคอยจับตาพฤติกรรมเค้าเป็นพิเศษ   ถ้าเค้าจะไข่เค้าจะหาที่มุด ๆ หลบ ๆ ตามใต้ขอนไม้หรือในบ้าน และจะดุมากใครเข้าไปใกล้ ๆ เค้าจะชูก้ามขู่เพื่อไม่ให้ตัวอื่นมายุ่มยามบริเวณบ้านเค้า และที่สำคัญเลยเค้าจะไม่ออกมากินอาหารเราก็จะเขี่ย ๆ ดูว่ามีไข่รึเปล่าถ้าไข่ ก็จะใช้วิธีแยกตัวที่ไข่ออกมาจากตู้  แต่...  ก่อนจะแยกกุ้งไข่จากตู้สิ่งที่ต้องทำก่อนคือจัดตู้คุณแม่กุ้งให้เรียบร้อยตอนแรก ๆ เลยเราใช้ตู้กระจกธรรมดานี่แหละค่ะให้ แม่กุ้งอยู่แล้วใช้ฟิวเจอร์บอร์ดปิดรอบตู้ให้มืด ๆ เพื่อไม่ให้แม่กุ้งเครียด




         แต่ตอนหลังเราใช้ถังพลาสติกค่ะใหญ่ ๆ กว่าตู้ 24 ค่ะ  จำไซส์ไม่ได้แล้ว แล้วเอาน้ำในตู้ที่แม่กุ้งเค้าอยู่เดิมนั่นแหละใส่ลงไป  ใส่กรองฟองน้ำลงไป แล้วก็ค่อย ๆ ช้อนแม่กุ้งมาใส่ในขันซึ่งขันนั้นต้องมีน้ำอยู่ด้วยนะคะน้ำก็ เป็นน้ำในตู้เค้าแหละค่ะ  เวลาช้อนก็ค่อย ๆ นะคะอย่าให้คุณแม่เค้าตกใจ จนกระโดดล่ะเดี๋ยวไข่หลุดหมด  โดยส่วนตัวก็จะคุยกับคุณแม่กุ้งเค้า บอกเค้าว่ามาหาแม่มามะ  เดี๋ยวแม่พาไปอยู่ที่ใหม่ไม่มีใครมารบกวน เลยนะลูกนะ  เค้าจะได้รีบมาไงคะ  อิอิ  

           แล้วก็เอาขันนั้นน่ะมาค่อย ๆ เอียงนะคะให้น้ำในถังค่อย ๆ ไหลเข้าไปในขัน ให้เค้าชิน ๆ หน่อยแล้วก็ค่อย ๆ เทเค้าเบา ๆ ลงไปในถัง  หลังจากนั้นก็ ใช้ฟิวเจอร์บอร์ดสีดำ ๆ ปิดปากถังไม่ต้องปิดหมดนะคะ แค่ครึ่งเดียวก็พอ ไม่ให้มีแสงสว่างมากนัก  แต่อย่าปิดหมดนะคะเพราะจำทำให้อบค่ะ อุณหภูมิของน้ำอาจสูงขึ้นได้ แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการจัดที่อยู่สำหรับคุณแม่กุ้งกันแล้ว

การให้อาหารคุณแม่กุ้งเครฟิช

                การให้อาหารไม่ต้องมากค่ะเช่น  กุ้งฝอยต้ม 1 ตัวเค้าก็กินไม่หมดแล้ว เพราะระยะที่เค้าอุ้มไข่แม่กุ้งจะอดอาหารเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองลอกคราบ ในขณะอุ้มไข่ค่ะ  ให้วันละ 1 มื้อก็เพียงพอค่ะ  หลังจากให้อาหารแล้ว ประมาณ 2-3 ชม. ให้ดูว่าหมดไม๊  ก็ให้เก็บเศษอาหารที่เหลือออก ทันทีค่ะ   สิ่งที่พึงระวังอย่างมากคือคุณภาพน้ำค่ะ  ควบคุมคุณภาพน้ำ ให้ดีค่ะอย่าให้มีของเสียเยอะเพราะแม่กุ้งจะสลัดไข่ทิ้งค่ะ  

อุณหภูมิ

การจัดวางตู้คุณแม่กุ้งสถานที่เป็นสิ่งสำคัญมากให้ดูว่าตรงไหนที่จะไม่ทำให้
อุณหภูมิของน้ำเปลี่ยนขึ้นลงเร็วเกินไปค่ะ   อุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสม
จะอยู่ที่ประมาณ 27  องศา ค่ะ  พยายามควบคุมอย่าให้อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง
มากนักเช่น ไม่ควรขึ้นหรือลงเกิน 2 องศาค่ะ  เพราะจะทำให้คุณแม่กุ้ง
เกิดความเครียดและสลัดไข่ทิ้งเช่นกัน

สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ช่วยควบคุมไม่ให้อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงมาก  และรวดเร็ว
คือปริมาณของน้ำค่ะ  ดังนั้นสิ่งสำคัญคือตู้คุณแม่กุ้งต้องใหญ่ ๆ ค่ะ  
น้ำต้องเยอะ ๆ ค่ะ  อุณหภูมิของน้ำจะไม่เปลี่ยนแปลงมากค่ะ

ระยะเวลาการการฟักไข่

            หลังจากที่คุณแม่เค้าเริ่มไข่แล้วจะให้ระยะเวลาประมาณสามสัปดาห์สีของไข่ จะเริ่มทยอยเปลี่ยนสี  อย่างเช่น  อัลลินี่ไข่ระยะแรกสีจะดำ  หลังจากนั้น ไข่จะพัฒนาค่อย ๆ ทยอยเปลี่ยนสีเป็นใส ๆ และเริ่มเห็นเป็นตัวและลูกตา ของน้องกุ้งตัวน้อย ๆ พร้อมที่จะออกมาชมโลก  

          สีไข่ของกุ้งแค่ละสีจะไม่เหมือนกันนะคะ  เช่น อัลลินี่ไข่จะสีดำ ในระยะแรก  สโนว์ไข่จะสีขาว บลูสป็อตไข่จะอีกสีน้ำตาลนิด ๆ ค่ะ แต่ระยะสุดท้ายจะพัฒนาเป็นใส ๆ และมีจุดสองจุดคือลูกตาน้องกุ้งนั่นเอง  นับจากวันที่อุ้มไข่ประมาณ 30 วันไข่ที่ถูกผสมจะพัฒนาเป็นลูกกุ้ง ส่วนไข่ที่ไม่ผสมคุณแม่กุ้งเค้าก็จะสลัดทิ้งไปโดยตัวเค้าเองค่ะ ระยะนี้คุณแม่กุ้งเค้าจะยืนนิ่ง ๆ ทั้งวันค่ะ  เพื่อให้เจ้ากุ้งน้อย ๆ  ที่พร้อมแล้วกระโดดออกมาจากระยางค์ของเค้า  ระยะนี้จะใช้เวลาประมาณ 2-4 วันโดยประมาณแล้วแต่ปริมาณ
ของไข่ที่ฟักค่ะ

การดูแลคุณแม่กุ้งหลังคลอดและเด็ก ๆ 



               หลังจากเจ้าตัวน้อย ๆ ออกมาเดินเป็นยุงกันเต็มแล้วคุณแม่กุ้งเค้าก็จะเริ่มกินอาหารมากขึ้นค่ะ  เพื่อสะสมอาหารสำหรับการลอกคราบ  โดยปกติแล้วพอเจ้าตัวน้อยออกไปหมดแล้วเราก็จะทำการแยกแม่กุ้งออกเลยค่ะ  แล้วก็ให้เค้ากินอาหาร  หลังจากนั้น ประมาณ 2 สัปดาห์คุณแม่เค้าก็จะลอกคราบค่ะ  คุณแม่บางตัว อาจลอกคราบถึงสองครั้งหลังจากการอุ้มท้อง  แต่บางตัวก็ลอกแค่ครั้งเดียวค่ะ

                    ส่วนลูกกุ้งนั้น  เราก็จะใส่สาหร่ายหางกระรอกให้เค้าเยอะ ๆ ค่ะ สำหรับเป็นที่หลบภัย  และก็เป็นอาหารได้ด้วย ผ่านไปประมาณ 1 สัปดาห์ก็จะเริ่มให้อาหารเม็ดค่ะ ที่ใช้อยู่จะเป็น เตตร้าครัสต้าค่ะ  ที่เป็นแผ่นบาง ๆ ค่ะ ที่เลือกใช้แบบนี้เพราะแผ่นบาง ๆ สามารถละลายน้ำ ได้ง่ายเหมาะสำหรับลูกกุ้งวัยอนุบาลค่ะ กินง่าย ตอนแรกเคยทดลองให้ไข่ต้มค่ะ  แต่ปรากฎว่ากุ้งกินค่ะ แต่ไม่เป็นผลดีกับน้ำเลยทำให้น้ำเสียและลูกกุ้งก็ ตายไปหลายตัวเหมือนกันค่ะ

                    การให้อาหารก็กะเอาค่ะไม่ต้องมากค่ะ  เพราะเราใส่สาหร่ายหางกระรอกอยู่แล้วยังไงน้องกุ้งน้อยเค้าก็มีสาหร่ายให้แทะกินได้ตลอดเวลาค่ะ ไม่ต้องกลัวเค้าจะหิวเพราะถ้าอาหารเหลือน้ำเสีย อาจถึงตายได้ค่ะ

ตู้สำหรับกุ้งวัยอนุบาล

                    หลังจากน้องกุ้งเริ่มตัวโตขึ้นแล้ว   เราก็จะค่อย ๆ แยกน้องกุ้งออกไปค่ะเฉลี่ย ๆ ดู  อย่าให้แออัดมากนักเพราะน้องกุ้งเค้าจะกินกันเองตอนลอกคราบได้ค่ะ

ด้วยความปรารถนาดีจาก  ณัฐ Yabby House 

การสลัดไข่ของกุ้งก้ามแดง


การสลัดไข่ของกุ้งก้ามแดง


ขออนุญาติรูปจาก By เอบิ ฟาร์ม


 เมื่อกุ้งก้ามแดงพร้อมที่จะผสมพันธุ์ กุ้งก้ามแดงตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อสีขาวๆแปะไว้ที่ท้องของกุ้งก้ามแดงตัวเมีย

หลังจากนั้นไม่เกิน 3 วัน บางตัวก็ช้า บางตัวก็เร็ว กุ้งก้ามแดงตัวเมียก็จะขับไข่ออกมาผสมกับน้ำเชื้อของกุ้งก้าม

แดงตัวผู้ พร้อมกับงอหางไว้ไม่ให้ไข่หลุดออกไปไหน ช่วงนี้กุ้งก้ามแดงตัวเมีย อาจมีอาการนอนหงายหรือนอน

ตะแคงซ้ายตะแคงขวา ถ้าเราตรวจเจอก็ห้ามไปรบกวนเด็ดขาดให้ปล่อยไว้อย่างนั้น แสดงว่าแม่พันธุ์กุ้งก้ามแดง

กำลังขับไข่  ระยะ 1 สัปดาห์แรก ยังถือว่าเป็นระยะที่ง่ายต่อการสลัดไข่ ถ้าสามารถแยกตัวผู้ออกจากกล่องผสมได้

ก็ควรทำ ให้เขาอยู่ตัวเดียวและอยู่ในน้ำเดิม ช่วงนี้ไม่ควรเปลี่ยนน้ำ จนกระทั่งผ่านไปสัก 2 สัปดาห์ ถ้าเห็นว่าน้ำ

สกปรก หรือพื้นกล่องมีเศษอาหารหรือเศษสาหร่ายมากเกินไป ก็ควรเปลี่ยนนำ้  50 %  ถ้าผสมในบ่อใหญ่ 

เราจะสูบน้ำออกทั้งหมดเพื่อเชคกุ้งก้ามแดงแม่ไข่ และเก็บน้ำในบ่อไว้ด้วย ระยะเวลาในการสูบก็ประมาณ 1 

เดือน เชคทีนึง พอเจอกุ้งก้ามแดงแม่ไข่ก็แยกออกมาไว้ในตะกร้าที่มีฝาปิด ตะกร้าละตัว ในตะกร้าจะใส่สาหร่าย

และใบหูกวางเพื่อเป็นอาหาร ช่วงนี้ควรงดอาหารเม็ดเพื่อป้องกันน้ำเสีย ถ้าน้ำสกปรกอาจทำให้ไข่กุ้งก้ามแดงเป็น

เชื้อราได้ สังเกตุได้โดยจะมีวุ้นสีขาวๆรอบๆไข่ถ้าปล่อยไว้ แม่กุ้งจะเก็บออกเอง บางทีอาจใช้วิธีคีบไข่ใบที่เสียออก

 หลังจากไข่แล้วประมาณ 30-45 วัน กุ้งก้ามแดงก็จะลงเดิน (หลุดออกจากท้องแม่) ก็นำไปอนุบาลต่อประมาณ 1

 เดือน ให้ได้ขนาดประมาณ 1 นิ้ว ก็สามารถนำไปเลี้ยงในบ่อดินได้ ซึ่งจะเพิ่มอัตรารอดมากกว่าปล่อยกุ้งก้ามแดง

ลงเดินลงไปเลี้ยง

        สรุป การสลัดไข่ของกุ้งก้ามแดงมีหลายปัจจัย เช่น โดนรบกวนจากสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น กุ้งตกใจจากเสียง

ดัง เสียงอึกทึก คนเลี้ยงชอบไปส่องดู น้ำฝนตกลงบ่อแม่ไข่มากเกินไป ไข่ไม่มีเชื้อ แม่พันธุ์ไม่สมบูรณ์ จับกุ้งแล้ว

กุ้งดีดไข่กระจาย ระหว่างขับไข่กุ้งตกใจ ฯลฯ

เมื่อมีกุ้งแล้ว ทำอย่างไรให้กุ้งไม่ตาย โตไว

เมื่อกุ้งโตแล้ว ทำอย่างไรกุ้งจะไข่

เมื่อกุ้งไข่แล้ว ทำอย่างไรกุ้งจะไม่สลัดไข่และลงเดินได้

เมื่อกุ้งลงเดินแล้วทำอย่างไรจะเลี้ยงให้ลูกกุ้งรอดมากที่สุด

เมื่อรอดจนถึง 1 นิ้วแล้ว ลงบ่อดิน ทำอย่างไรกุ้งจะโตเร็วที่สุด

เมื่อกุ้งโตแล้ว ทำอย่างไรจะขายได้ราคาดีที่สุด(พอดีๆไม่ถูกไม่แพงจนเกินไป)และยั่งยืนที่สุด

สุดท้าย ทำอย่างไรจะขยายกิจการให้ได้มากที่สุด

สีของกุ้งมีผลกระทบ กับความแข็งแรงของกุ้ง ไหม

สีของกุ้งมีผลกระทบ กับความแข็งแรงของกุ้ง ไหม


เราเคยเห็นกุ้งก้ามแดง ที่มีหลายสี เช่น สีน้ำตาล ลายเขียว นั้นคือสีปกติ บางทีก็มีสีฟ้า และสี
ขาว (เพราะสีของมันนี่ละจึงทำให้หลายคนเรียกชื่อมันผิด ไปเรียกบลูลอฟบ้าง และอย่างอื่นบ้าง) แต่วันนี้เราจะมาพูดถึง ประเด็นความแข็งแรง เพราะลูกค้าผม ชอบคิดว่า สีน้ำตาลคือกุ้งที่แข็งแรงและสีขาว กับสีฟ้า คือกุ้งที่ไม่ค่อยแข็งแรง ความจริงแล้ว กุ้งแข็งแรงเหมือนกันทุกสี แต่สาเหตุที่มันมีสีแปลกๆออกไป เพราะ อาหารที่มันกิน และ อุปกรณ์ที่ใช้เลี้ยง เท่านั้นเอง เลี้ยงได้ กินได้ โตเร็ว และ อร่อย เหมือนกัน ไม่ว่ามันจะสีอะไร


สาวโรงงานทิ้งเงินเดือน กลับบ้านเลี้ยงกุ้งก้ามแดง รายได้เป็นล้าน

สาวโรงงานทิ้งเงินเดือน กลับบ้านเลี้ยงกุ้งก้ามแดง ยึดแนวทางพ่อหลวง (21 พ.ย.) พบสาวเมืองโคราชพลิกชีวิต จากอดีตพนักงานบริษัทเอกชน เงินเดือนกว่า 50,000 บาท ลาออกจากงานมาเลี้ยงกุ้งก้ามแดงอยู่บ้านเกิดกับแม่ เพียง 1 ปี สร้างรายได้แซงเงินเดือนเดิมอย่างน่าทึ่งเรื่องราวนี้ได้รับการเปิดเผยจาก นางสาวจิรภัทร ชีโพธิ์ อายุ 48 ปี ซปัจจุบันอาศัยอยู่ ต.หนองไข่น้ำ อ.เมือง จ.นครราชสีมา และได้ใช้พื้นที่ข้างบ้านประมาณ 60 ตารางวา ทำเป็นฟาร์มเลี้ยงกุ้งก้ามแดงแบบพอเพียง มีบ่อซีเมนต์ขนาด 2x2 เมตร สำหรับเลี้ยงกุ้งพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ 3 บ่อ และมีกะละมังพลาสติกขนาดใหญ่ สำหรับเลี้ยงกุ้งอนุบาลอยู่ประมาณ 20 ใบเท่านั้น
กระทั่งเดือนตุลาคม 2558 ก็ได้เริ่มลงทุนครั้งแรก ใช้เงินประมาณ 8,000 บาท ซื้ออุปกรณ์ กะละมังผสมปูน ใบละ 400 บาท จำนวน 4 ใบ ซื้อลูกกุ้งตัวขนาด 1 ซ.ม. ตัวละ 25 บาท จำนวน 200 ตัว และซื้อเครื่องปั๊มออกซิเจน จำนวน 1 เครื่อง รวมทั้งอาหารและอุปกรณ์เสริมอีกเล็กๆ น้อยๆ พอทำมาได้ประมาณ 2 เดือน กุ้งตายไปเพียง 20 ตัวเท่านั้น เหลือชีวิตรอดอยู่ทั้งหมด 180 ตัว จึงเก็บไว้เป็นพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ หลังจากนั้นเมื่อกุ้งเหล่านี้มีอายุ 4 เดือน ก็เริ่มออกไข่ ทำให้ได้ลูกกุ้งเพิ่มขึ้นนับหมื่นตัว จึงเริ่มประกาศขายลูกกุ้งในเฟซบุ๊ก ขนาดตัว 1 นิ้ว ราคาตัวละ 20 บาท ปรากฏว่ามีคนสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก
ทำให้ตนเห็นโอกาสทำเงินในทันที จึงตัดสินใจใช้เงินประมาณ 80,000 บาท ทำฟาร์มกุ้งข้างบ้านอย่างจริงจัง และสามารถคืนทุนได้ภายใน 6 เดือน ปัจจุบันผ่านมาครบ 1 ปีพอดี ฟาร์มกุ้งก้ามแดงของตนสามารถเพาะพันธุ์กุ้งขาย มีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายไปแล้วไม่ต่ำกว่าเดือนละ 80,000 - 100,000 บาท และที่น่าแปลกใจคือเพาะพันธุ์ได้เท่าไหร่ ก็ไม่พอกับออเดอร์ที่สั่งเข้ามา ที่ต้องให้กับพ่อค้า 3 เจ้าเท่านั้น จาก จ.สระแก้ว จ.สุราษฎร์ธานี และกรุงเทพมหานคร ส่วนเจ้าอื่นที่ติดต่อมาก็งดรับไว้ก่อน สำหรับเคล็ดลับการเลี้ยงกุ้งก้ามแดงให้ประสบความสำเร็จนั้น ต้องอาศัยใจที่รักด้วย เพราะเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่มีราคาสูง จึงต้องดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์นั้น ถ้าเลี้ยงดีๆ จะให้ผลผลิตคุ้มค่ามาก แม่พันธุ์ 1 ตัว สามารถออกไข่ได้ลูกไม่ต่ำกว่า 800 ตัวต่อครั้ง ซึ่งที่ฟาร์มของตนจะขายเฉพาะลูกกุ้ง ถ้าเป็นลูกกุ้งอายุประมาณ 1 สัปดาห์ จะขายตัวละ 10 บาท อายุ 3 สัปดาห์ มีขนาดลำตัวยาว 1 นิ้ว ขายตัวละ 20 บาท อายุ 45 วัน ขนาดลำตัว 2.5 นิ้ว ขายตัวละ 100 บาท และอายุตั้งแต่ 3 เดือน มีขนาดลำตัว 3 นิ้วขึ้นไป
ถ้าเป็นตัวเมีย จะขายได้ราคาสูงถึงตัวละ 300 บาท ส่วนตัวผู้ราคาตัวละ 50 บาท สำหรับวิธีเลี้ยงนั้น ตนก็จะทำบ่อซีเมนต์ขนาดกว้างคูณยาว 2 เมตร แต่ละบ่อใส่กุ้งพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ลงไปจำนวน 110 ตัว แบ่งเป็นตัวผู้ 30 ตัว ตัวเมีย 80 ตัว มีสายให้ออกซิเจน 3 จุด ตัดท่อพีวีซีเป็นท่อนๆ ขนาดยาว 5 นิ้ว เพื่อให้กุ้งเข้าไปหลบซ่อนตัว ใส่ผักบุ้ง และแหนแดง เพื่อบังแดดและเป็นอาหาร ส่วนอาหารก็ให้อาหารกุ้งทั่วไปตามท้องตลาด ข้างๆ บ่อก็ใส่ใบหูกวางแห้งลงไป เพื่อเป็นยารักษาแผลกุ้ง และใส่เศษผ้าลงไปเพื่อให้เป็นที่ลอกคราบของกุ้ง หมั่นถ่ายน้ำออกเดือนละ 1 ครั้ง เมื่อแม่พันธุ์ออกไข่ ก็จับแยกไปลงถังน้ำ เพื่อให้ออกลูก เฉลี่ยแม่พันธุ์ 1 ตัว ให้ลูกได้ประมาณ 700-800 ตัว ต่อ 1 ครั้ง หลังจากลูกกุ้งคลานได้แล้ว ก็แยกลงกะละมังตามขนาด สามารถนำไปขายได้ทันที
จากการตัดสินใจลาออกจากงานประจำ มาทำอาชีพเลี้ยงกุ้งก้ามแดงขาย เป็นเวลา 1 ปี ปัจจุบันตนก็ได้ใช้ชีวิตอิสระ อยู่ที่บ้านดูแลแม่ที่อายุมากแล้ว ซึ่งเป็นชีวิตที่มีความสุขมาก เพราะแต่ละวันก็พาแม่มาดูแลฟาร์มกุ้ง มีเวลาว่างพาแม่ไปเดินห้างสรรพสินค้า ซื้อของกินของใช้ ไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องใช้ชีวิตรีบเร่งอยู่กับงานเหมือนอดีตแล้วตนถือว่าเป็นบุญที่ได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพ่อหลวงโดยการนำกุ้งก้ามแดง ที่พระองค์ทรงนำมาวิจัยไว้เมื่อในอดีต มาเลี้ยงเพื่อสร้างรายได้ให้กับครอบครัว นับว่าพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อครอบครัวของตนเองอย่าหาที่สุดมิได้
ที่มา เว็บสนุก